“แจ็ค หม่า ลุยไทย!!! มาดีหรือมาร้าย? ไทยจะได้หรือเสีย?

520

ฮือฮากรณีข่าว “แจ็ค หม่า (Jack Ma)” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา ได้การลงนามความร่วมมือบันทึกความเข้าใจ 4 ฉบับ กับ “หน่วยงานภาครัฐของไทย” เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน E-commerce การพัฒนาระบบการชำระเงินออนไลน์ การส่งเสริมศักยภาพให้แก่ SMEs และการส่งเสริมการท่องเที่ยว

 

การลงนามนี้ “ผู้บริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา” กล่าวว่า ไทยถือเป็นผู้นำด้านการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยบริษัทมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ในขณะที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เทคโนโลยีใหม่ของอาลีบาบาจะช่วยสร้างโอกาสด้านการพัฒนา ตามแนวนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยัง “แนวคิดหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีน” ได้อีกทางหนึ่งด้วย

นั่นคือ ความเห็นของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เห็นไปในทางที่สอดคล้องกันว่าโครงการนี้ เป็นโครงการที่ดี แต่จริงๆแล้วเป็นอย่างนั้นหรือไม่ และการมาของ “แจ็ค หม่า” มีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่ มาร้ายหรือมาดี? ไทยจะได้หรือเสีย? นั่นเป็นสิ่งที่ชวนค้นหาอย่างยิ่ง
“แจ็ค หม่า” มาร้ายหรือมาดี??

การที่จะพิจารณาว่า”แจ็ค หม่า” มาร้ายหรือมาดี??นั้น เราต้องไปดูความต้องการที่แท้จริงของเขานั่นน่าจะเป็นเป็นอย่างไร???
1.หวังใช้ไทยเป็นตัวผ่านสินค้า???: “แจ็ก หม่า”เคยพูดไว้หลายๆครั้ง ถึงศักยภาพของไทยว่า เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคแห่งนี้ ที่จะเป็นจุดเชื่อมโยง ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเชื่อว่า “แจ็ก หม่า” คงเล็งไว้ว่าจะใช้ “ไทย”กระจายสินค้าของ”กลุ่มอาลีบาบา” ไปยังประเทศในอาเชียน ในขณะเดียวกันก็จะใช้ “ไทย” เป็นตัวผ่านสินค้าของ “อาเชียน”ไปยังจีนด้วย โดยฉพาะสินค้าเกษตร
2.หวังผลักดันแนวคิด” หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีน???: “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”(One Belt One Road) เป็นยุทธศาสตร์หลักของจีน ที่ต้องการเชื่อมโยงทั้งทางบกและทะเลกับ 60 ประเทศ โดยประเทศไทย เป็น 1 ในนั้น

แม้วันนี้”ไทย” ยังไม่สนองตอบจีน โดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมต่อมาจากเวียงจันทน์ แต่รัฐบาลไทย ได้มีโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งมีแผนการเชื่อมโยงกับแนวคิด “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีน” “แจ็ก หม่า” จึงอาจจะเห็นว่า ประเทศไทย เริ่มมีท่วงท่าที่ตอบรับจีนมากขึ้น ดังนั้นการประกาศความร่วมมือกับ “หน่วยงานของไทย” ก็จะช่วยกระตุ้นให้ “รัฐบาลไทย” ร่วมมือกับรัฐบาลจีนเร็วขึ้น และในที่สุดการที่”อาลีบาบา”เข้ามาลงทุนที่นี้ก่อนจะทำให้สามารถกอบโกยเม็ดเงินได้อย่างมหาศาล

3.หวังยึดครองการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร???: “แจ็ก หม่า” เคยพูดไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร” คือจุดแข็งของไทย สามารถส่งออกไปสู่ตลาดใหญ่อย่างจีน ยุโรป และทั่วโลก จากคำพูดนี้ แสดงให้เห็นว่า “แจ็ก หม่า” มีความสนใจจะเข้ามาค้าขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของไทย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี

4.หวังยึดครองตลาดการท่องเที่ยวของไทย? อย่างที่ทราบกันว่า การท่องเที่ยวของไทยอยู่ระดับต้นๆของโลก โดยเฉพาะปีที่ผ่านมา( 2560) มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวราว 35 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้รวม 1.8 ล้านล้านบาท และขยายตัวต่อเนื่อง โดย 1 ใน 3 เป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากจีน ความคาดหวังนี้จะเห็นได้จาก 1 ใน 4 ฉบับ ของการลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่างกลุ่มอาลีบาบากับทางหน่วยงานของไทย ซึ่งเรื่องนี้ แน่นอนว่าไทยได้ประโยชน์ด้วย แต่อาจจะกระทบต่อผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวชาวไทยตามมา ดังนั้นรัฐบาลไทย จะแก้ไขปัญหาตรงนี้อย่างไร

แต่คนไทยต้องไม่ลืมว่า แค่ “กลุ่มนักธุรกิจจีน” หรือ ที่เรียกกันว่า “ล้งจีน”ในไทย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 1,090 ราย แบ่งเป็นผู้ค้าลำไย 473 ราย ทุเรียน 556 ราย และมังคุด 65 ราย ก็เข้ามาผูกขาดตลาดผลไม้ไทย จนทำให้ “ผู้ประกอบการชาวไทยและผู้บริโภคชาวไทย”ต่างเดือดร้อนไปตามๆกัน แล้วหากยักษ์ใหญ่อย่าง”อาลีบาบา”ลงมาผสมโรงอีก ก็ไม่รู้ว่าจะเดือดร้อนกันไปขนาดไหน

โดยเฉพาะยังไม่เคยเห็นว่า“รัฐบาลไทย” ชุดไหนที่ออกมาปกป้องผู้ค้ารายย่อยเลย แม้จะมี “พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542” ที่ออกมาเพื่อป้องกันการกระทำอันเป็นการผูกขาด แล้วก็ตาม โดยอ้างแต่ “การค้าเสรี” ซึ่งไม่ต่างจากเอามวยรุ่นยักษ์มาชกกับมวยรุ่นเล็ก อย่างไรมันก็ยากที่จะเอาชนะได้

แม้ “แจ็ก หม่า” อ้างว่าเข้ามาเพื่อช่วยเหลือไม่ได้หวังเข้ามาแสวงหากำไรหรือเข้ามาผูกขาด แต่คำถามคือ มี “ทุน” ที่ไหนในโลกที่ลงไปแล้วไม่หวังผลกลับคืน???

ไทยจะได้เหรือเสีย?

สิ่งที่ไทยจะได้??

“อาลีบาบา” ได้เตรียมแผนการก่อสร้างโครงการ Smart Digital Hub ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มูลค่าลงทุน 11,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2561-2562 ซึ่งโครงการนี้ จะใช้เทคโนโลยีด้านการประมวลข้อมูลโลจิสติกส์ เพื่อทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน นอกจากนี้ยังมีโครงการความร่วมมือการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลและการส่งเสริมธุรกิจผ่าน E-Commerce โดย “วิทยาลัยธุรกิจอาลีบาบา” จะมาร่วมสนับสนุนด้วย
ซึ่งโครงการนี้ถ้ามองในแง่ดีด้วยคือ จะช่วยสร้างบุคลากรด้านดิจิทัลและการส่งเสริมธุรกิจผ่าน E-Commerce ทำให้ไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้า E-Commerce เพราะตลาดจีน เป็นตลาดใหญ่ มีประชากรกว่า 1 พันล้านคน และ “อาลีบาบา” มีเครือข่าวทั่วโลก รวมทั้งจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตอนนี้กำลังซบเซาให้กระเตื้องขึ้นได้

 

 

สิ่งที่ไทยจะเสีย??

แม้ว่าโครงการนี้ดูเหมือนว่าไทยจะได้ประโยชน์ แต่สิ่งที่ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้คือ 1.เศรษฐกิจดิจิทัลไทยอาจจะถูกผูกขาดและครอบงำโดย “อาลีบาบา” ??? จะทำให้กลุ่มธุรกิจไทยอื่นๆ เสียเปรียบแบบกรณี “ร้านโชห่วยของไทย” ที่โดนร้านมินิมาร์ทยักษ์ใหญ่เบียดตกขอบแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดมาจนถึงทุกวันนี้

2.เศรษฐกิจไทยจะถูกบังคับผนวกเข้ากับระบบของเศรษฐจีน??? “ไทย” จะกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจของจีน เพราะทุกอย่างถูกกำหนดโดย “อาลีบาบา” และหากวันหนึ่ง อาจจะถูกใช้เป็นข้อต่อร้องกับ “รัฐบาลไทย” ก็อาจจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศตามมาได้

3. ข้อมูลมหาศาลของไทยจะอยู่ในมือของ “อาลีบาบา”??? โดยเฉพาะข้อมูล SMEs ของไทย หรือข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายต่างๆของไทย

4.ข้อมูลเหล่านี้อาจจะถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของ”อาลีบาบา”ในอนาคต??? อย่างที่ทราบกันว่า “ลาซาด้า” เป็นแหล่งขายสินค้า(ราคาถูกกว่าเจ้าอื่น)ของอาลีบาบา ก็อาจจะทำให้ผู้ประกอบการของ “ไทย” ได้รับผลกระทบ เพราะไม่สามารถสู้กับทุนใหญ่อย่าง”อาลีบาบา”ได้

ลำพัง “ทุนใหญ่ของไทย” ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็รังแกพวกเขามากพออยู่แล้ว หากต้องมาเจอกับ”ทุนระดับโลก” เข้าไปอีกธุรกิจของไทยอาจจะถึงขั้นกระอักก็ได้

ที่ว่าเศรษฐกิจอาจจะดีขึ้น อย่างที่“นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี อ้างนั้น ก็อาจจะหนักเข้าไปอีกเพราะความรวยจะไปกระจุกอยู่กับบางกลุ่มเท่านั้น

แม้ว่า “คนในรัฐบาล”นี้ ต่างประสานเสียงกันว่าการมาของ”อาลีบาบา” จะเป็นเรื่องที่ดี เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น แต่ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งมั่นใจ เห็นดี เห็นงามไปเสียทุกอย่างเลย ให้มอง “แบบป้องกัน” เอาไว้บ้าง

เพราะต้องไม่ลืมว่า”แจ็ค หม่า” เขาเป็นนักธุรกิจ และความต้องการสูงสุดของนักธุรกิจใครๆรู้กันว่า ก็คือ”ผลกำไร”???