นายกฯมหาเธร์ โมฮัมหมัด ของมาเลเซีย ต้องอยู่ในภาวะดิ้นหนัก หลังจากเจอหนี้ก้อนมหาศาลจากการก่อหนี้ของรัฐบาลที่แล้ว
โดยล่าสุด เมื่อ 12 มิ.ย.61 ที่ผ่านมา เวบไซต์ nikkei.com รายงานว่า นายกฯมหาเธร์ ได้ขอยืมเงินสกุลเงินเยนจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อแก้ปัญหาภาระหนี้ก้อนใหญ่
โดยมีการแถลงข่าวร่วมกับนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น
ภายหลังจากการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่าย นายกฯมหาเธร์ กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะได้รับประโยชน์ หากมาเลเซียฟื้นตัวจากภาระหนี้ที่รัฐบาลเก่าทำขึ้น จากการทุจริตและการใช้จ่ายเงินอย่างมากในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ
นายกฯมหาเธร์ บอกด้วยว่า การแก้ปัญหาหนี้จะทำให้มาเลเซียสามารถเป็นตลาดและการลงทุน สำหรับญี่ปุ่นในมาเลเซียได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าต้องการยืมเงินจากญี่ปุ่นมากแค่ไหน
โดย นายกฯมหาเธร์ กล่าวว่า นายกฯญี่ปุ่น ให้สัญญาว่าจะพิจารณาคำขอดังกล่าว
Cr. fb: Dr. Mahathir bin Mohamad
Cr. fb: Dr. Mahathir bin Mohamad
Cr. fb: Dr. Mahathir bin Mohamad
ด้านนายชินโซ อาเบะ กล่าวว่าญี่ปุ่นจะสนับสนุนการเติบโตของมาเลเซียและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศใน “ระดับใหม่” โดยร่วมมือด้านการศึกษา,ทรัพยากรมนุษย์,วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในอดีตมาเลเซีย ได้รับประโยชน์จากโครงการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นในรูปแบบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและความร่วมมือด้านเทคนิค โดยสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ
ของของญี่ปุ่น ระบุว่า ประเทศมาเลเซียได้รับเงินจำนวน 2.49 แสน ล้านบาท จากการเบิกจ่ายทั้งหมดในพ. ศ. 2512 ถึง พ.ศ. 2557 จำนวนนี้ได้รับการชำระคืน 1.69 แสนล้านบาท
โดยเงินทุนส่วนใหญ่ของญี่ปุ่น ถูกนำมาใช้เพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานในทศวรรษที่ 1970 และด้านเทคโนโลยีการผลิตและทรัพยากรมนุษย์ในช่วงปี 1980 และยุค 90
ในช่วงแรกของการเป็น “นายกรัฐมนตรี” พ. ศ. 2524 และ พ.ศ. 2546 “นายกฯมหาเธร์” มักหันไปหา “ญี่ปุ่น”ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของเอเชียเมื่อพ. ศ. 2541 โดยมี การกู้ยืมเงินจำนวน 1.6 แสนล้านบาท
cr.wikipedia.org/wiki/
จำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ได้รับการประกาศโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น”นายคิอิชิ มิยาซาวา” จำนวน 9.6 แสนล้านบาท ให้กับประเทศในเอเชียที่ประสบภาวะวิกฤติ
รัฐบาลมาเลเซีย กล่าวว่า หนี้ของประเทศได้พุ่งขึ้นแตะ 8.7 ล้านล้านบาท หรือ 80 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยอ้าง ว่า อดีตนายกรัฐมนตรี “นาจิบ ราซัก” กำลังถูกตรวจสอบเกี่ยวเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับ กองทุน “1mdb”
นายกฯมหาเธร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า มาเลเซียได้ขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นในการปรับปรุงทางรถไฟที่มีอยู่เพื่อเพิ่มความถี่ของการขนส่งสินค้าและรถไฟโดยสาร ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวอาจลดการจราจรบนถนนและเพิ่มการขนส่งทางรางในประเทศมาเลเซีย
นายคิอิชิ มิยาซาวา” อดิตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น (cr.ภาพ wikipedia.org/wiki/)
มหาเธร์ กล่าวอีกว่า มาเลเซียจะพิจารณาระบบรถไฟความเร็วสูงในอนาคต อันเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งการอัพเกรดระบบรางรถไฟที่มีอยู่ ก็เพียงพอสำหรับความต้องการในระยะใกล้
ในการประชุมกับนายชินโซ นั้นนายกฯมหาเธร์ ยังได้แสดงความหวังว่ามหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นจะจัดตั้งสาขาในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันสถาบันการศึกษาระดับสูงจากออสเตรเลีย จีน และสหราชอาณาจักร มีวิทยาเขตในประเทศมาเลเซีย แต่มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นยังไม่มี
Cr. fb: Dr. Mahathir bin Mohamad
Cr. fb: Dr. Mahathir bin Mohamad
มหาเธร์ กล่าวด้วยว่า มาเลเซียจะฟื้นฟูนโยบาย “Look East” ของตนโดยให้คำมั่นที่จะศึกษาคุณค่าทางวัฒนธรรม และจรรยาบรรณในการทำงานของญี่ปุ่น เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา
อุตสาหกรรม
ในการพบหารือกับนายกฯมหาเธร์ นักธุรกิจญี่ปุ่นได้แสดงความหวังอย่างมากต่อรัฐบาลใหม่ โดยนายฮิโรกิ นากาชิ ประธานสหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น ระบุว่า มาเลเซียกลายเป็นฐานที่สำคัญมาก สำหรับการผลิต ซึ่งเราคาดหวังว่าจะมีการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
โดย “มหาเธร์”ได้เสร็จสิ้นการเดินทางเยือนญี่ปุ่นแล้ว หลังใช้เวลา 3 วัน เพื่อร่วมประชุมอนาคตของเอเชียนปี 2561 ระหว่าง 11-12 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา
นี่คือ ความน่าสะพรึงกลัวของเศรษฐกิจ ที่อยู่หลังฉากของประเทศมาเลเซีย ก็ต้องติดดูกันนะครับว่า ญี่ปุ่นจะช่วยเหลือได้แค่ไหน และจีนจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร