ไทยไม่รอแล้ว ผนึกเกาหลีใต้ ลุยโครงการฐานยิงจรวด

763

ไปติดตามความคืบหน้าโครงการสร้างฐานจรวดของไทยกันบ้าง ล่าสุด ไทย ลงนาม MOU กับ เกาหลีใต้ ศึกษาความเป็นไปได้เตรียมสร้าง ท่าอวกาศยานในประเทศไทย โดยรัฐบาลเกาหลีพร้อมจะศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับทีมไทยแลนด์ตั้งเป้าการศึกษาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในเวลา 3 ปี เรื่องนี้น่าสนใจไปติดตามกันครับ

13 กุมภาพันธ์ 2566 มีรายงานว่า GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. และ Korea Aerospace Research Institute (KARI) ร่วมลงนามความร่วมมือการศึกษาความความเป็นไปได้ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย โดย ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อํานวยการ GISTDA และ ซัง-รยูล ลี (Mr.Sang-Ryool LEE) ประธานบริหารKARI

พร้อม ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงอว. และ แบ แจ ฮยอน (Mr.Bae Jae Hyun) อัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยานฯ ณ กระทรวง อว. กรุงเทพมหานคร

อุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ซึ่งจะเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ความร่วมมือระหว่างไทยและเกาหลีในครั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอวกาศ (space industry/ space economy) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ รวมไปถึง (ร่าง) พ.ร.บ. กิจการอวกาศที่จะเป็นกลไกสำคัญในการใช้ประโยชน์จากอวกาศสู่การพัฒนาประเทศบนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่อไป

 

GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. และ Korea Aerospace Research Institute (KARI) ร่วมลงนามความร่วมมือการศึกษาความความเป็นไปได้ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย

การลงนามข้อตกลงในครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างท่าอวกาศยาน หรือ Spaceport ในประเทศไทย ด้วยศักยภาพและความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์สำหรับการจัดตั้ง Spaceport มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง การได้ร่วมมือกับ KARI ซึ่งเป็นองค์กรด้านการวิจัยอวกาศที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาตินี้เกิดขึ้นหลังจากการลงนาม MOU ความร่วมมือด้านกิจการอวกาศ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา “การศึกษาความเป็นได้ในการสร้าง spaceport ในประเทศไทยครั้งนี้ KARI และรัฐบาลเกาหลีใต้ จะเป็นผู้ดำเนินการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับทีมไทยแลนด์ โดย GISTDA จะสนับสนุนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งร่วมจัดกิจกรรมด้านอวกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวจะศึกษารายละเอียดเชิงลึกอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ สถานที่จัดตั้ง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ภัยพิบัติ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ชนิดของจรวดนำส่ง ใบอนุญาตและกฎระเบียบข้อบังคับในการนำส่งจรวด รวมทั้งโมเดลด้านธุรกิจ การวิเคราะห์ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการทำความเข้าใจกับสังคม เป็นต้น ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้นี้จะต้องเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในเวลา 3 ปี”

การศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาจัดตั้ง Spaceport ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ ต่อยอดขยายกิจการอวกาศของประเทศและภูมิภาคให้ไปสู่เชิงพาณิชย์ที่จะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่กับประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์พิเศษเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เคยให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทย เป็น 1 ใน 7 สถานที่ของโลกที่เหมาะกับการเป็น “spaceport” หรือ “สถานียิงจรวดและส่งดาวเทียม” โดยเฉพาะจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและอยู่ติดกับทะเล นี่คือจุดแข็งของประเทศไทย

ครับ ประเทศไทย มีศักยภาพระดับโลก ที่เหมาะกับการเป็นสถานียิงจรวดและส่งดาวเทียม การร่วมมือกับ เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอีกชาติที่มีความก้าวหน้าทาง อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ จะช่วยให้ความฝันของไทย มีความเป็นจริงได้เร็วขึ้น ซึ่งนั่นจะช่วยระดับอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาชาติไปอีกระดับครับ