ปธ.KNU วอนชาวกะเหรี่ยงลุกขึ้นสู้- ชี้เผด็จการทหารตัวขัดขวางสันติภาพ

274

ไปที่รัฐกะเหรี่ยงกันต่อ ล่าสุด ประธานสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กล่าวเนื่องในวันปีใหม่ ปลุกชาวกะเหรี่ยงลุกขึ้นต่อสู้ ชี้ตราบใดที่เผด็จการทหารไม่แก้ไขปัญหาด้วยวิธีการทางการเมืองที่ถูกต้อง การสร้างสันติภาพภายในจะไม่ประสบความสำเร็จ พร้อมย้ำ ให้ทุกคนทวงสิทธิ์ที่ถูกพรากไป และต่อสู้กับระบบการเมืองที่ไม่ยุติธรรม เรื่องนี้น่าสนใจไปติดตามกันครับ

เมื่อ 30 ธ.ค.64 สำนักข่าว burmese.dvb. รายงานว่า พล.อ.ซอว์ มูตู เซย์โป ประธานสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ได้กล่าว เนื่องในวันปีใหม่แห่งชาติกะเหรี่ยง ว่า ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับวิกฤตทางการเมืองคือผ่านการเจรจาทางการเมืองอย่างสันติ และ KNU เรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาทางการเมืองอยู่เสมอ แต่ผู้ปกครองไม่สนใจ

พร้อมระบุ KNU เข้าใจดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสันติภาพภายในโดยปราศจากการหยุดยิงและการแก้ปัญหาทางการเมือง และว่า เขาได้ลงทุนเวลาและเงินเป็นจำนวนมากในการสร้างสันติภาพภายใน เพื่อสวัสดิการของประชาชนและการพัฒนาประเทศ

 

พล.อ.ซอว์ มูตู เซย์โป ประธานสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU)/Cr.Salween Press

นอกจากนี้ พรรคการเมือง กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำงานร่วมกับประชาชน และองค์กรระหว่างประเทศได้ให้ความช่วยเหลือแก่ KNU

อย่างไรก็ตาม ความพยายามของ KNU ถูกขัดขวางโดยรัฐประหารครั้งใหม่ ดังนั้น ตราบใดที่เผด็จการทหารไม่เต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วยวิธีการทางการเมืองที่ถูกต้อง การเจรจาทางการเมืองที่แท้จริงและความพยายามในการสร้างสันติภาพภายในจะไม่ประสบความสำเร็จ

ดังนั้นคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนรุ่นหลัง ได้เข้าใจความเป็นจริงของสถานการณ์และได้เห็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ ดังนั้น เราขอแนะนำให้คุณทวงสิทธิ์ของคุณที่ถูกพรากไปและต่อสู้กับระบบการเมืองที่ไม่ยุติธรรม ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อสิทธิของชาติ และการพัฒนาประเทศของเรา และต่อสู้กับศัตรูทั้งหมดที่จะโจมตีและทำลายเอกลักษณ์ของชาติเรา

ครับ ตลอดกว่า 70 ปี ในการต่อสู้ของชาวกะเหรี่ยง ประจักษ์ชัดแล้วว่า กองกำลังกะเหรี่ยง สามารถต่อกรกับทหารเมียนมาได้ แต่ปัญหาที่ไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ ก็คือ ยังไม่มีความสามัคคีมากพอ ทำให้ทหารเมียนมาใช้ช่องโหว่เหล่านี้สร้างความแตกแยกระหว่างชาวกะเหรี่ยงด้วยกัน

ดังนั้นจะเห็นตัวอย่างได้ชัดที่สุดคือ การสูญเสียกองบัญชาการที่ “มาเนอพลอ” ใกล้กับชายแดนไทยเมื่อ พ.ศ. 2537 ที่ถือว่าเป็นค่ายที่แข็งแกร่งที่สุดของกองกำลังกะเหรี่ยง

นอกจากนี้ยังเกิดจากความไม่ชัดเจนของผู้บริหารบางคนว่า จะสู้หรือไม่สู้กับทหารเมียนมาดี ซึ่งนี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนสับสน และ ต้องเร่งแก้ให้ตก เพราะชาวกะเหรี่ยงโดยทั่วไป พร้อมสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว