“กองกำลังรัฐชิน”ถล่มยึดค่ายทห.อองหล่ายดับ12-ยึดอาวุธ กระสุยเพียบ

332

 

มาติดตามสถานการณ์ในเมียนมากันต่อ ล่าสุดมีรายงานว่า กองกำลังของประชาชนในรัฐชิน ได้ผนึกกำลัง เปิดฉากโจมตีค่ายสภาทหารของมินอองหล่าย ในหมู่บ้านของรัฐชิน ส่งผลให้ทหารอองหล่าย 12 นายถูกสังหาร พร้อมยึดอาวุธปืน และกระสุน ได้จำนวนมาก ในขณะที่ฝ่ายกองกำลังของประชาชนรัฐชินบาดเจ็บ 8 ราย เรื่องนี้น่าสนใจไปติดตามกันครับ

 

สำนักข่าว Khit Thit Media รายงานเมื่อ 13 กันยายน 2564 ว่า ที่เมืองทานตะลาน (Thantlang Township) รัฐชิน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศเมียน มา กองทัพแห่งชาติชิน (CNA) และ กองกำลังป้องกันรัฐชินเมืองทานตะลาน (CDF Thantlang) ซึ่งเป็นกองกำลังฝ่ายประชาชนประมาณ 400 นาย ได้เปิดฉากโจมตีค่ายสภาทหาร ในหมู่บ้านโลงเล ( Longlar ) เมื่อเวลา 19.45 น. วันที่ 11 กันยายน และเข้ายึดค่ายเวลา 21.30 น.

ทำให้ทหารของสภาทหาร 12 นายถูกสังหารและสมาชิก พันธมิตรรัฐชิน 8 คนได้รับบาดเจ็บ ตามรายงานของ กองกำลังป้องกันรัฐชิน (CDF)

รายงานข่าว บอกด้วยว่า อาวุธปืน 14 กระบอก รวมทั้งปืนไรเฟิลของกองทัพเมียนมา ถูกยึดระหว่างการต่อสู้ พร้อมยึดกระสุนจำนวนหนึ่ง

 

 

กองกำลังป้องกันรัฐชิน ยึดอาวูธ หลังโจมตีค่ายทหารของสภาทหาร ในรัฐชิน/photo credit:The Hakha Times

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 กันยายน กองกำลังชาวชิน ประมาณ 200 นาย ได้บุกโจมตีฐานทัพทหาร แต่ได้ถอยทัพหลังการโจมตีทางอากาศของสภาทหาร

สำหรับฐานทัพทหารอองหล่าย ตั้งอยู่ใกล้หมู่บ้านโลงเล เมืองทานตะลาน ในรัฐชิน (Chin) และชาวบ้านในท้องถิ่น ได้หลบหนีเข้าสู่รัฐมิโซรัม ของอินเดีย หลังจากเครื่องบินขับไล่ของสภาทหาร ยิงจรวดใส่ เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา

ซึ่งชาวบ้าน หมู่บ้านโลงเล และหมู่บ้านอื่น ๆ ของเมืองทานตะลาน ในรัฐชิน (Chin) ที่หลบหนีไปยังรัฐมิโซรัม อินเดีย ได้รับการต้อนรับจากผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน เขตจานไฟ Kyan Fai รัฐมิโซรัม ของอินเดีย และผู้ลี้ภัยมากกว่า 200 คนอาศัยอยู่ในโรงเรียนของรัฐบาล ตามการเปิดเผยของแหล่งข่าวในท้องถิ่น

รายงานข่าว บอกด้วยว่า เมื่อวันที่ 13 กันยายน เครื่องบินของสภาทหารถูกพบเห็นบินอยู่เหนือทิวเขาวานซาง Vanzang ในเมืองทานตะลาน โดยอ้างจากแหล่งข่าวในท้องถิ่น

ครับ สถานการณ์ในรัฐชิน ระหว่างฝ่ายกองกำลังประชาชน และฝ่ายทหารอองหล่าย แสดงให้เห็นถึงรัฐบาลทหาร มองประชาชนเป็นศัตรูที่ต้องจัดการให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ซึ่งสถานการณ์อย่างนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ความหวังแห่งการปรองดองในชาติตกอยู่ในความมืดมน ที่ยากเกินกว่ากว่ากลุ่มคนภายนอกจะเข้าไปช่วยแก้ไขได้ครับ