มิน ออง หล่าย ได้ออกสื่อ โดยกล่าวว่าสภาบริหารแห่งรัฐจะสิ้นสุดการใช้ข้อกำหนดภาวะฉุกเฉินภายในเดือนสิงหาคม 2566 พร้อมฉะพรรค NLD และผู้สนับสนุนพรรค เลือกการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย แทนที่จะทำหรือแก้ไขปัญหาตามกฎหมาย ด้านนักเคลื่อนไหวและผู้สังเกตการณ์ หวั่นหัวหน้ารัฐบาลทหารจะอยู่ในอำนาจจนถึงปี 2566
สำนักข่าว Salween Press รายงานว่า ในการปราศรัยสดบน MRTV และแพลตฟอร์มสื่อของรัฐอื่น ๆ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย หัวหน้ารัฐบาลทหาร เมียนมา กล่าวว่าสภาทหารสามารถดำเนินการเลือกตั้งได้เฉพาะเมื่อมีความมั่นคงทางการเมืองเท่านั้น
ระหว่างนี้เราต้องทำในสิ่งที่ควรทำ จากนั้นเราจะใช้เวลาหกเดือนในการเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งตามกฎหมาย เราจะสิ้นสุดการใช้บทบัญญัติของพรก.ฉุกเฉินภายในเดือนสิงหาคม 2566
สำนักข่าว Salween Press รายงานด้วยว่า หัวหน้ารัฐบาลทหารยังกล่าวหาบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในขบวนการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ รวมถึงกองกำลังป้องกันประชาชน โดยใช้โควิด-19 เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง
พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย หัวหน้ารัฐบาลทหารเมียนมา/Cr.MRTV
และย้ำว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยตรง และนั่นหมายถึงการใช้โควิด-19 เป็นเครื่องมือในการก่อการร้ายทางชีวภาพ การใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองอาจเป็นความผิด
มินอองหล่าย ยังกล่าวด้วยว่า กองทัพทำหน้าที่ของตนตามกฎหมายที่มีอยู่ แต่พรรค NLD และผู้สนับสนุนพรรค เลือกการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย แทนที่จะทำหรือแก้ไขปัญหาตามกฎหมาย
นอกจากนี้ เขายังกล่าวหาผู้ใช้โซเชียลมีเดียว่าเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและข่าวปลอมเกี่ยวกับความเสี่ยงของการฉีดวัคซีน การห้ามนำเข้าออกซิเจน และการปฏิเสธผู้ป่วยโควิด-19 ที่ทำให้เกิดความกลัวในหมู่ประชาชน
หัวหน้ารัฐบาลทหารยังกล่าวด้วยว่า กองทัพลงนามข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ (NCA) ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ และว่า จะสร้างสหภาพตามระบอบประชาธิปไตยและสหพันธ์อย่างสันติภายใต้ NCA
เมียนมา เหมือนประเทศต่างๆทั่วโลก ที่เผชิญกับวิกฤติโควิด แต่ที่จะซ้ำเติมให้วิกฤติหนักเข้าไปอีกคือ วิกฤติทางการเมืองที่เกิดขึ้น
และสิ่งที่น่ากังวลมากขึ้นอีกคือ การที่รัฐบาลทหารจะอยู่ในอำนาจจนถึงปี 2566 จะยิ่งทำให้การคาดเดาต่อสถานการณ์ในเมียนมา นอกจากเรื่องโควิดแล้ว เรื่องสังคม เศษฐกิจ และการเมือง จะยิ่งยากขึ้นไปอีก ซึ่งแน่นอนว่า ปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการลักลอบการเข้ามาทำงาน และการแก้ไขวิกฤติโควิดจะยิ่งยากขึ้น