สวัสดีครับพบกันอีกเช่นเคยกับช่อง 1one.asia วันนี้มาติดตามข่าว การพัฒนาท่าเรือระนอง กันบ้าง ที่ล่าสุด กทท. ยกระดับการให้บริการท่าเรือระนอง (ทรน.) เร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการ เพื่อผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) พร้อมเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าสู่กลุ่มประเทศ BIMSTEC เรื่องนี้น่าสนใจไปติดตามกันครับ
20 ก.ค.63 เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการของ ทรน. ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถรองรับเรือสินค้าขนาด 12,000 DWT (หรือ น้ำหนักรวมของสินค้า) ทั้ง 2 ท่าเทียบเรือ เป็นการยกระดับการให้บริการตามนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) เชื่อมโยงการขนส่งทางน้ำ ถนน และรางระหว่างฝั่งอันดามันกับฝั่งอ่าวไทยจาก ทรน. กับท่าเรือชุมพร และท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.)
เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการค้าของประเทศ พัฒนา ให้ ทรน. เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าฝั่งทะเลอันดามันเชื่อมโยงไปยังประเทศในกลุ่ม BIMSTEC ได้แก่ บังคลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย เมียนมา เนปาล ภูฏาน และไทย การพัฒนาศักยภาพ ทรน. ในวงเงินรวม 41.8 ล้านบาท เป็นการปรับปรุงโครงสร้างท่าเทียบเรือ 1 และ 2 ให้มีความปลอดภัย และให้ท่าเทียบเรือที่ 1 สามารถรองรับเรือบรรทุกสินค้าได้เท่ากับท่าเทียบเรือที่ 2
สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างดังกล่าว แบ่งออกเป็นงานปรับปรุงท่าเทียบเรือที่ 1 ความยาวหน้าท่า 130 เมตร พร้อมติดตั้งยางรองรับแรงกระแทกท่าเทียบเรือที่ 1 ขนาด 800H-2500L (Arch Fender) จำนวน 35 ชุด ให้สามารถรองรับเรือสินค้าขนาด 12,000 DWT งานปรับปรุงท่าเทียบเรือที่ 2 ความยาวหน้าท่าเทียบเรือ 150 เมตร และซ่อมแซมยางรองรับการกระแทกท่าเทียบเรือที่ 2 จำนวน 2 ชุด รองรับเรือสินค้าขนาด 12,000 DWT รองรับการใช้งานเครนขนาด 65.3 ตัน สะพานทางเข้าท่าเทียบเรือที่ 1 และ 2 สามารถรองรับน้ำหนักรถบรรทุกกึ่งพ่วง 6 เพลา 22 ล้อ ได้
นอกจากนี้ กทท. กำลังดำเนินการจ้างที่ปรึกษาออกแบบ (Detail Design) และศึกษาผลกระทบในการทำพื้นที่วางตู้สินค้าเพิ่ม คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564
ท่าเรือระนอง ตั้งอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ สามารถขนส่งสินค้า/ตู้สินค้าเชื่อมโยงเส้นทางการค้ากับประเทศในเอเชียใต้ แอฟฟริกา ยุโรป และกลุ่มส BIMSTEC ช่วยร่นระยะเวลาในการเดินเรือสินค้าไปยังประเทศในแถบฝั่งอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดียลงประมาณ 3 เท่า
อย่างเช่นปกติการขนสินค้าไปเมียนม่าต้องใช้เวลาประมาณ 15-20 วัน เพราะต้องผ่านท่าเรืองกรุงเทพฯ หรือท่าเรือแหลมฉบัง ก่อนจะอ้อมผ่านสิงคโปร์ แต่ถ้าจากท่าเรือระนอง จะใช้เวลา 4-7 วัน เท่านั้น
และเส้นทางนี้ ยังอยู่ในแนว 1 แถบ 1 เส้นทาง หรือ โครงการ Belt and Road ของจีน ซึ่งไทยสามารถใช้ประโยชน์นี้ ในการเป็นศูนย์การเชื่อมโยงเส้นทางจากจีนลงมาและขนส่งสินค้าที่นี้ ก็จะย่นระยะเวลาและระยะทางได้อย่างมาก ในขณะเดียวกัน ก็สามารถเชื่อมโยงเส้นทางการค้ากับประเทศในเอเชียใต้ แอฟฟริกา ยุโรป และกลุ่มส BIMSTEC ไปยังจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ผ่านท่าเรือแห่งนี้ ก็จะทำให้ท่าเรือระนองจะกลายเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญในภูมิภาคนี้ขึ้นมาทันที ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนจีนได้ลงดูพื้นที่แล้ว และบอกว่าศักยภาพท่าเรือแห่งนี้ดีมาก เรื่องนี้จึงอยู่ที่รัฐบาลไทย จะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร
และหากช้าไป เมียนม่า อาจจะชิงบทบาทนี้ไปก็ได้ เพราะล่าสุด เมื่อต้นปี 2563 ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ผู้นำจีนเดินทางเยือนเมียนมาร์ และเตรียมลงทุนสร้างท่าเรือในรัฐยะไข่ มูลค่าเฉียด 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในจุดเชื่อมต่อสำคัญของโครงการ Belt and Road ครับ