สวัสดีครับพบกันอีกเช่นเคยกับช่อง 1one.asia วันนี้มาดู การเตรียมฝึกแบบทวิภาคี ระหว่าง กองทัพเรือไทย กับ กองทัพเรืออินโดนีเซีย ภายใต้ชื่อ การฝึกผสม SEA GARUDA ครั้งที่ ๒๐ ระหว่างวันที่ 15 – 21 ส.ค.62 นี้ ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ และอ่าวไทยตอนบน โดยจะฝึกร่วมกัน ทั้ง 3 มิติ คือ ภัยจากใต้น้ำ ภัยทางอากาศ และภัยจากผิวน้ำ เรื่องนี้น่าสนใจไปติดตามกันครับ
เมื่อ 11 สิงหาคม 2562 เพจ กองทัพเรือ Royal Thai Navy ได้รายงานเรื่องการ การฝึกผสม SEA GARUDA ในระหว่างวันที่ 15 – 21 ส.ค.62 นี้
โดยระบุรายละเอียดว่า เป็นการฝึกแบบทวิภาคี ระหว่าง กองทัพเรือไทย กับ กองทัพเรืออินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการฝึกการปฏิบัติการร่วมกันระหว่างเรือ อากาศยาน และ นาวิกโยธิน โดยเน้นการฝึกในด้านสาขาสงครามผิวน้ำ สงครามใต้น้ำ และการป้องกันภัยทางอากาศ การตรวจค้น และการปฏิบัติการร่วมต่างๆ
CR.FB:กองทัพเรือ Royal Thai Navy
ถือเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ความรู้ ประสบการณ์ในการปฏิบัติการร่วมกัน และสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่าง กองทัพเรือทั้งสองประเทศ ตั้งแต่การฝึกทักษะของเจ้าหน้าที่ตามหน้าที่ ไปจนถึงการปฏิบัติและการวางแผนของฝ่ายอำนวยการในการปฏิบัติการร่วมกันของภัยคุกคามทั้ง 3 มิติ คือ ภัยจากใต้น้ำ ภัยทางอากาศ และภัยจากผิวน้ำ
สำหรับการฝึกของนาวิกโยธินนั้น ทั้ง ๒ ประเทศจัด ๑ ชุดปฏิบัตินาวิกโยธิน มีการประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ โดยผู้เชี่ยวชาญระหว่าง นาวิกโยธินกองทัพเรือไทย และ นาวิกโยธินกองทัพเรืออินโดนีเซีย ตลอดจนมีการสาธิตการฝึกของชุดปฏิบัติการนาวิกโยธิน จากกองทัพเรือทั้ง ๒ ประเทศด้วย
การฝึกผสม SEA GARUDA มีการฝึกปีเว้นปี และสลับกันเป็นเจ้าภาพ โดยการฝึกปีนี้ เป็นการฝึก ครั้งที่ ๒๐ และกองทัพเรือไทยเป็นเจ้าภาพ
สำหรับการฝึกนั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนการฝึกเพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติการร่วมกัน ให้มีความเข้าใจตรงกันระหว่าง กองทัพเรือไทย และ กองทัพเรืออินโดนีเซีย และเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ โดยจัดตั้งฝ่ายอำนวยการจากกองทัพเรือของทั้งสองประเทศในการควบคุมการฝึก ซึ่งในการฝึกครั้งนี้มีการฝึกยิงอาวุธจริงด้วยปืนเรือด้วย
โดยกำหนดรหัสการฝึกเป็น การฝึกผสม EXERCISE OF SEA GARUDA 20AB-19 ทำการฝึกระหว่างวันที่ 15 – 21 สิงหาคม 2562
มีพื้นที่ฝึกหน่วยเรือ บริเวณ ฐานทัพเรือสัตหีบ (ฐท.สส. ) และอ่าวไทยตอนบน สำหรับพื้นที่หน่วยนาวิกโยธิน บริเวณค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า กรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และค่ายกรมหลวงชุมพร หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
โดยมีห้วงเวลาการฝึกแบ่งเป็น 3 ขั้น ไก้แก่ ขั้นการฝึกในท่า ขั้นการฝึกในทะเล และสรุปผลการฝึก
กองทัพเรือได้มอบหมายให้ กองเรือฟริเกตที่ 1 กองเรือยุทธการ รับผิดชอบการฝึก โดยมี พลเรือตรี กำจร เจริญเกียรติ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 1 เป็นผู้อำนวยการฝึก และมี นาวาเอก สมาน ขันธพงษ์ เสนาธิการกองเรือฟริเกตที่ 1 เป็นผู้บังคับหมู่เรือฝึกผสม SEA GARUDA 2019
และ ตัวแทนฝ่ายจากกองทัพเรืออินโดนีเซีย ทำหน้าที่เป็นรองผู้บังคับหมู่เรือฝึกฯ มีกำหนดพิธีการเปิดการฝึกบริเวณท่าเรือหมายเลข 3 ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ (ข้างเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช) ในวันที่ 15 สิงหาคม 2562 โดย พลเรือตรี กำจร เจริญเกียรติ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 1 เป็นประธานในพิธี และกำหนดการพิธีปิดในวันที่ 21 สิงหาคม 2562
สำหรับกำลังที่เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้มีดังนี้
กำลังของกองทัพเรือไทย
-เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช
-เรือหลวงรัตนโกสินทร์
-เครื่องบินลาดตระเวน
-เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง
-เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ผิวน้ำ
-ชุดปฏิบัติงานนาวิกโยธิน 1 ชุด (30 นาย)
กำลังพลของกองทัพเรืออินโดนีเซีย
– เรือฟริเกต
– เรือคอร์เวต
– ชุดปฏิบัติงานนาวิกโยธิน 1 ชุด (12 นาย)
นอกจากการปฏิบัติการร่วมกันของกองทัพเรือทั้งสองประเทศแล้ว ในการฝึกครั้งนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนกำลังพลเพื่อสังเกตการณ์ฝึกทั้งบนเรือของทั้งสองประเทศ ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานกับกองทัพเรือต่างประเทศและนำมาปรับใช้กับกองทัพเรือไทยในอนาคตได้
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึกครั้งนี้จะทำให้กำลังพลของกองทัพเรือมีความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนการปฏิบัติการร่วมกันระหว่าง เรือกับเรือ และ เรือกับอากาศยาน ในการปฏิบัติการทางเรือทั้ง 3 มิติ การปฏิบัติการตรวจค้นเรือต้องสงสัย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ฝึกกับเรือรบทั้ง 2 ลำ ของกองทัพเรืออินโดนีเซีย รวมทั้งยังได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ของชุดปฏิบัติการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ทั้ง ๒ ประเทศ ถือเป็นประโยชน์ต่อกองทัพเรือเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือระหว่างประเทศให้ดียิ่งขึ้นด้วย
นี่เป็นการฝึกแบบทวิภาคี ระหว่าง กองทัพเรือไทย กับ กองทัพเรืออินโดนีเซีย ครั้งที่ ๒๐ ภายใต้ชื่อ การฝึกผสม SEA GARUDA ในระหว่างวันที่ 15 – 21 ส.ค.62 นี้
ซึ่งการฝึกนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มทักษะของทหารเรือของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามใน 3 มติ คือ ภัยจากใต้น้ำ ภัยทางอากาศ และภัยจากผิวน้ำ แล้ว ยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของ 2 ชาติให้แนบแน่นขึ้นไปอีก ในฐานะเป็นมหามิตร ที่มีความสัมพันธ์กันด้วยดีตลอดมา ครับ
