นี่คือ สภาพถนนที่มุ่งสู่ตัวเมืองทวาย ซึ่งเป็นที่สังเกตุว่า สภาพดีกว่าเส้นทาง ที่เราเดินทางผ่านมาอย่างมาก
นอกจากถนนค่อนข้างดีแล้ว ยังมีไฟฟ้าที่สะดวก ซึ่งจะเห็นเสาไฟฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ริมทางเหมือนกับประเทศไทย ซึ่งไม่แปลก เพราะชาวทวาย บอกว่า เป็นไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ที่เอกชนไทยได้ลงทุน ร่วมมือกับเมียนม่า
การเติบโตของเมืองทวายอย่างรวดเร็วนี้ สาเหตุหนึ่งมาจาก”ทวาย” ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยด้านจังหวัดกาญจนบุรีแค่ 160 กม. และห่างจากกรุงเทพฯ 317 กม. จึงทำให้มีนักลงไทย เริ่มหลั่งไหลมาที่นี้ โดยเฉพาะการลงทุนด้านสาธารณูปโภค
โดยเฉพาะการมาลงทุนท่าเรือทวาย แต่โครงการนี้ก็ยังไม่คืบหน้า
ยิ่งเข้าสู่ในตัวเมืองทวาย ยิ่งตืนตาตื่นใจ เมืองนี้แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่มีความเจริญ ถนนสร้างได้ดีมาก และเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เหมือนเมืองอื่นๆของเมียน
นอกจากความเจริญสมัยใหม่แล้ว เรายังเห็นสภาพบ้านเรือนเก่าๆ สไตล์โคโลเนียล และเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ผู้คนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
และมีร้านรวงประภทต่างๆ ตั้งเรียงราย 2 ข้างถนน
ส่วนยวดยานพาหนะ ที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง และจักรยาน ซึ่งดูแล้วให้บรรยากาศความเรียบง่าย และสบายๆ
และที่น่าสนใจอีกอันหนึ่ง คือ มีไฟเขียว ไฟแดง เหมือนอย่างในเมืองไทย ดูแล้ว เมืองทวาย มีบรรากาศคล้ายๆ บ้านเรามาก
ด้านวัดวาอาราม ก็เป็นอีกเสนห์ของเมืองทวาย ซึ่งชาวทวาย มีความเคร่งครัดทางด้านศาสนามาก ดังจะเห็นได้จาก เมื่อเข้าวัดก็ห้ามใส่รองเท้า
เป็นที่สังเกตุว่า มีตึกรามบ้านช่องใหม่ๆ ที่กำลังทยอยปลูกมากขึ้นด้วยเช่นกัน ตามความเจริญของเมือง โดยปัจจุบันเมืองทวายมีประชากรราว 139,900 คน
ชาวทวาย สามารถสนทนาภาษาไทยได้อย่างเข้าใจ เพราะเคยใกล้ชิดไทยมาก่อน และอยู่ห่างจากไทยแค่ 160 กม. แต่อยู่ห่างจากย่างกุ้งถึง 614 กม.
ในขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ทวาย นิยมเดินทางไปทำงานในเมืองไทย และพ่อค้า ก็นิยมไปซื้อของในเมืองไทยเช่น พวกผัก หรือสินค้าอุปโภคชนิดต่างๆ จึงทำให้ได้รับอิทธพลทั้งภาษา และวัฒนธรรมจากเมืองไทย และสำคัญคนทวาย ก็มีความรู้สึกใกล้ชิดกับคนไทย และเมื่อเขารู้ว่า เราเป็นคนไทย ดูเหมือนเขาอยากจะคุยด้วย
และอย่างนี้นี่เอง เมืองทวาย จึงน่าสนใจทั้งในเชิงการท่องเที่ยว และ การลงทุน ครับ